พลังงาน

SPCG ฝ่าโควิด Q1 ธุรกิจโซลาร์เซลล์ฟันกำไรกว่า 800 ล้าน

SPCG โชว์ประกอบการไตรมาสแรก ฝ่าวิกฤตโควิดกวาดรายได้ 1.4 พันล้าน กำไรกว่า 800 ล้านบาท จากการขายจากโครงการโซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 แห่งและติดตั้งโซลาร์รูฟบบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ และโรงงานอุตสาหกรรม มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 72

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG” เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขณะนี้ยังเดินหน้าต่อเนื่อง โดยผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 มีรายได้รวมจากการขาย จำนวน 1,454.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 837.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ของโซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับธุรกิจโซลาร์รูฟที่ดำเนินการผ่าน บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) (บริษัทในเครือ SPCG) ซึ่งดำเนินธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) สำหรับบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ และโรงงานอุตสาหกรรม มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 72

ดร.วันดี กล่าวเพิ่มเติมว่าในส่วนของธุรกิจโซลาร์รูฟ ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้อย่างก้าวกระโดด เนื่องจากได้ต่อยอดความสำเร็จโดยพัฒนาการลงทุน Solar Roof ในรูปแบบ Leasing กับสถาบันการเงินได้ระยะเวลายาวนานถึง 15 ปี โดยได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟ) ร่วมกับบริษัท มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ลิส แอนด์ ไฟแนนซ์ จำกัด (“MUL”) บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“PEA ENCOM”) และบริษัท เคียวเซร่า คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น (“Kyocera”) เพื่อเพิ่มศักยภาพ และโอกาสการลงทุน Solar Roof สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย เนื่องจากในแต่ละวันโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) นั้น จะเข้ามามีส่วนช่วยในการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก สามารถนำพลังงานที่ผลิตได้จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ มาใช้เป็นพลังงานหลักในเวลากลางวันได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้นและยังมีส่วนช่วยในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาภาวะโลกร้อนอีกด้วย จึงเชื่อมั่นว่าระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) นั้นจะได้รับความนิยมแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นต่อไป

ในส่วนของธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม SPCG ได้ลงทุนร่วมกับบริษัท เคียวเซร่า คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น (“Kyocera”), Kyudenko Corporation, Tokyo Century Corporation, Furukawa Electric Company Limited, Tsuboi Corporation เพื่อพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์ม “Ukujima Mega Solar Project” ขนาดกำลังการผลิตรวม 480 เมกะวัตต์ ณ เกาะ Ukujima เมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 2,700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.92% โดยมีกำหนดการพัฒนาโครงการแล้วเสร็จในปี 2566 ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการชำระทุนครั้งที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 1,420,242,567 เยน เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 และจะชำระทุนครั้งที่ 2 เป็นจำนวนเงิน 1,924,187,000 เยน ภายในเดือนพฤษภาคม 2563

ทั้งนี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ได้มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท หรือในสกุลเงินอื่นในจำนวนที่เทียบเท่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการขยายธุรกิจและการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทฯ

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button