การเมือง

บทเรียนจากรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 ครบรอบ 9 ปี และเสนอทางออกจากวิกฤติทางการเมืองรอบใหม่ 8 ข้อ จากความพยายามในการขัดขืนเจตนารมณ์ของประชาชนหลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 66 

บทเรียนจากรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 ครบรอบ 9 ปี และเสนอทางออกจากวิกฤติทางการเมืองรอบใหม่ 7 ข้อ จากความพยายามในการขัดขืนเจตนารมณ์ของประชาชนหลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 66

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย และประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ เปิดเผยว่า ครบรอบ 9 ปีของการรัฐประหารครั้งล่าสุดของไทยสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “รัฐประหาร” ไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ใดๆและไม่ได้ทำให้สถานการณ์ต่างๆพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว การยึดมั่นในหลักการปกครองโดยกฎหมาย การดำเนินการตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยและใช้กลไกรัฐสภาแก้ปัญหาวิกฤติต่างหาก คือ ทางออกที่แท้จริงของประเทศ นำมาสู่ความมีเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ความมีเสถียรภาพและความมั่นคงของระบอบการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ

นาย อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การแสดงเจตจำนงของประชาชนผ่านการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมาต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา ขอขอบคุณวุฒิสมาชิกประมาณ 14 ท่านที่ได้ประกาศว่าจะลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีตามเสียงของประชาชนและเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร ขอคารวะแด่ ท่าน ส.ว. ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม, วัลลภ ตังคณานุรักษ์, วุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์, เฉลิมชัย เฟื่องคอน, อำพล จินดาวัฒนะ, ทรงเดช เสมอคำ, ซากีย์ พิทักษ์คุมพล, ภัทรา วรามิตร, วันชัย สอนศิริ, เจตน์ ศิรธรานนท์, ประมาณ สว่างญาติ, รณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล, ประภาศรี สุฉันทบุตร ท่าน ส.ว. ทั้ง 14 ท่านจะได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยว่า ท่านเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นตามหลักการประชาธิปไตยอย่างสันติ
วุฒิสมาชิกแม้นมาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารแต่สามารถแสดงจุดยืนเพื่อรักษาหลักการประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้เสียงของประชาชนส่วนใหญ่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เฉกเช่น ท่าน ส.ว. ผู้ทรงเกียรติทั้ง 14 ท่าน การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยจะได้ราบรื่นเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการลงทุน รวมทั้งเป็นผลบวกต่อตลาดการเงิน

การขัดขวางและสร้างอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลใหม่ที่มาจากเสียงประชาชน จะไม่เป็นผลดีต่อใครเลยสร้างความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และอาจนำมาสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งใหม่ที่ขยายใหญ่กว่าเดิมได้ หากวิกฤตการณ์การเมืองดังกล่าวสร้างเงื่อนไขให้เป็นข้ออ้างในการรัฐประหารอีก หรือ เกิดการอภิวัฒน์โดยประชาชนขึ้นมา การเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเกิดขึ้นนอกวิถีทางรัฐสภา ย่อมไม่สามารถคาดการณ์ผลกระทบที่ติดตามมาหลังจากนั้นได้ และ มีความไม่แน่นอนสูงยิ่ง จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยกันดำเนินการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติด้วยกลไกรัฐสภา

เสียงของประชาชนที่ดังขึ้นผ่านการเลือกตั้ง ผู้มีอำนาจต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ระบอบประชาธิปไตยจะนำสู่ความเจริญก้าวหน้าพัฒนาสู่ความรุ่งเรือง ลดความเหลื่อมล้ำ เปิดโอกาสให้ทุกคนอย่างเสมอภาค ลดผูกขาดเพิ่มการแข่งขันและแบ่งปัน ความสมบูรณ์พูนสุขและสันติธรรมย่อมบังเกิดขึ้นในสังคมไทย

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า แต่สิ่งที่เราเห็นอยู่วันนี้ ภายใต้ 9 ปีของระบอบรัฐประหารและระบอบเลือกตั้งแบบสืบทอดอำนาจ คสช คือ ความถดถอยลงของระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ระบบนิติรัฐรวมทั้งจริยธรรมของผู้ปกครอง โดยในทางการเมืองนั้น ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลังไปไม่ต่ำกว่า 45 ปีกลับไปสู่ช่วงเวลาเดียวกับบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญปี 2521
ในทางเศรษฐกิจ จะเห็นว่า อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศก่อนรัฐประหารและหลังรัฐประหาร ก่อนการรัฐประหารสองปี คือ ปี พ.ศ. 2555 อัตราการเติบโตจีดีพีอยู่ที่ 6.5% และ ปี พ.ศ. 2556 อยู่ที่ 2.9%

หลังรัฐประหาร 6-7 ปี โดยในปี พ.ศ. 2563 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบถึง -6.2% และในปี 64 ขยายตัวได้เพียง 1.5% และ ปี 65 ขยายตัวได้ประมาณ 2.6% ถือว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพในช่วงระบอบรัฐประหารต่อเนื่องมายังระบอบสืบทอดอำนาจ คสช ประเมินเบื้องต้นว่า ผลกระทบจากการรัฐประหารปี พ.ศ. 2557 ได้สร้างความเสียหายและการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนไม่ต่ำกว่าสองล้านล้านบาท เมื่อผนวกเข้ากับการไม่สามารถเจรจาทำข้อตกลงการค้าได้ ระบอบอำนาจนิยมรวมศูนย์อำนาจทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปมาก จึงกล่าวได้ว่า เป็น ทศวรรษแห่งความถดถอยของไทยภายใต้ระบอบรัฐประหารและระบอบกึ่งประชาธิปไตย การผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น

หากไม่มีวิกฤตการณ์ทางการเมืองและตามมาด้วยการรัฐประหาร รวมทั้งมีรัฐบาลประชาธิปไตยที่มีคุณภาพสูง ปานฉะนี้ประเทศไทยของเราก็อาจสามารถก้าวข้ามพ้นประเทศรายได้ระดับปานกลางและเริ่มต้นเข้าสู่ประเทศรายได้สูง กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ประชาชนก็จะมีระบบรัฐสวัสดิการอย่างถ้วนหน้าไปแล้วก็ได้
แม้น “ระบอบ คสช” จะผลักดันให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากโดยเฉพาะระบบคมนาคมขนส่ง ผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจในบางมิติ แต่ภาพรวมแล้ว ไม่ได้ทำให้โครงสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีการผูกขาดสูง เหลื่อมล้ำสูง ศักยภาพการแข่งขันและการยกระดับคุณภาพทรัพยากรมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ภายใต้ผลกระทบการแพร่ระบาดของ Covid-19 ยิ่งทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมย่ำแย่ลงกว่าเดิม สาเหตุน่าจะมาจากการที่ต้นทางแห่งอำนาจของ คสช นั้นไม่ได้มีที่มาจากประชาชนและไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน

แม้นหลังการเลือกตั้งแล้วในปี พ.ศ. 2562 ดูประหนึ่งว่า ได้เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยแล้ว แต่เป็นเปลือกนอกส่วนเนื้อแท้ยังเป็นระบอบอำนาจนิยมอยู่เพราะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผลการเลือกตั้งจึงถูกบิดเบือนไปจากเจตนารมณ์ของประชาชนผ่านระบบกลไก ระบบเลือกตั้งและความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่สมดุลและบิดเบี้ยว และ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 ภายใต้รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ ประชาชนได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากเป็นประวัติการณ์คิดเป็น 75.2% เพื่อเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสันติ แต่ดูเหมือนยังมีอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยอันเป็นผลจากกับดักที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญที่ต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาที่มีสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง 1 ใน 3 ไม่ใช่กึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ระบอบ คสช จึงมีลักษณะคล้ายกับระบอบกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตยของอินโดนีเซียในยุคซูฮาร์โต ขณะที่เวลานี้ อินโดนีเซียได้รับการยอมรับจากนานาชาติในการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างก้าวกระโดดหลังสิ้นสุดการปกครองโดยรัฐบาลทหารของนายพลซูฮาร์โต ผู้นำกองทัพเป็นทหารอาชีพ พากองทัพกลับสู่กรมกองปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก และไม่มีรัฐประหารมามากกว่า 30 ปีแล้ว การปฏิรูปการเมืองในยุคประธานาธิบดี นายพลซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน นายทหารประชาธิปไตยทำให้ระบอบประชาธิปไตยมั่นคงมากยิ่งขึ้นเป็นผลบวกอย่างมากต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในปัจจุบันและอนาคต สังคมไทยจึงควรศึกษาบทเรียนความสำเร็จจากอินโดนีเซีย
ระบอบ คสช กึ่งประชาธิปไตยในปัจจุบันมีความโปร่งใสและประสิทธิภาพต่ำกว่า ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบยุครัฐบาลเปรม และ รัฐบาลอานันท์หลังการรัฐประหารปี พ.ศ. 2534 รัฐบาลสุรยุทธ์หลังรัฐประหารปี พ.ศ. 2549 จะเห็นได้จากข่าวเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน การซื้อขายตำแหน่ง การเอื้อประโยชน์สัมปทานโครงการขนาดใหญ่ให้กับกลุ่มทุนใกล้ชิดผู้มีอำนาจ

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า มีการออกแบบรัฐธรรมนูญปิดประตูไม่ให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามชนะการเลือกตั้ง แต่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยก็สามารถเอาชนะได้ในครั้งนี้จากมวลชนผู้มุ่งมั่นต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย ครั้งนี้แน่นอนว่าจะมีการใช้ การยุบพรรคการเมือง การฟ้องคดีเพื่อตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเครื่องมือในการสกัดกั้นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย จะมีการใช้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ (ที่ไม่อิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ) ในการปฏิบัติการต่อคู่แข่งขันทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรมของระบอบสืบทอดอำนาจจาก คสช เหมือนกับเผด็จการทหารเผด็จการพม่าดำเนินการต่อ “อองซาน ซูจี” และ “พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย”

การกระทำดังกล่าวจะนำมาสู่ความพังทะลายต่อความน่าเชื่อถือของระบบศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆ เมื่อสถาบันหลักถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและฝ่ายที่เห็นต่างทำให้ประเทศเสี่ยงต่อสภาวะอนาธิปไตยและรัฐล้มเหลวในอนาคตได้ หากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยได้จัดตั้งรัฐบาลตามเสียงข้างมากของประชาชน ต้องทำให้การปฏิรูปศาลและองค์กรอิสระครั้งใหญ่ แม้นสังคมไทยเป็นสังคมแห่งการประนีประนอม แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็รักความเป็นธรรม การได้เห็นความอยุติธรรมเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าย่อมเป็นสิ่งเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปใหญ่ในระบบยุติธรรมได้ในอนาคต

แม้น “ระบอบ คสช” ช่วงหลังรัฐประหารใหม่ๆสามารถสร้างความสงบได้เพียงชั่วคราว สิ่งที่เข้ามาแทนที่ ความขัดแย้งระหว่าง “เสื้อเหลือง” กับ “เสื้อแดง” คือ ความขัดแย้งและวิกฤติทางการเมืองที่ใหญ่กว่าเดิม ซับซ้อนกว่าเดิมและหยั่งรากลึกยิ่งกว่าเดิม
หากไม่มีการรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. พ.ศ. 2557 และ รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีปัญหาความชอบธรรมต้องหมดอำนาจลงจากผลการเลือกตั้ง ระบบและสถาบันประชาธิปไตยจะพัฒนาต่อไปได้ ระบอบประชาธิปไตยจะเข้มแข็งขึ้นเช่นเดียวกับในอินโดนีเซียที่ครั้งหนึ่งเคยถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารมาอย่างยาวนาน
การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา บางประเทศประสบความสำเร็จ บางประเทศไม่ราบรื่น บางประเทศล้มเหลว สถานการณ์ในปัจจุบันจะเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อและจุดเปลี่ยนแปลงของอนาคตของประเทศไทย ขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนยึดมั่นในกลไกรัฐสภาและแนวทางสันติวิธี ยอมรับความเห็นอันแตกต่างหลากหลาย เปิดโอกาสให้เสรีภาพและเจตจำนงอันแท้จริงของประชาชนได้ผลักดันให้เกิดการปฏิรูป ความเป็นธรรม ประชาธิปไตยและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

จึงมีข้อเสนอต่อทางออกจากวิกฤติทางการเมืองรอบใหม่จากความพยายามในการขัดขืนเจตนารมณ์ของประชาชนในการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.  66 ดังนี้

1. ขอให้ทุกฝ่ายเคารพเจตจำนงของประชาชนผ่านการเลือกตั้งในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยและเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสันติ และ สนับสนุนการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนที่เรียกร้องให้สถาปนาระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอันเป็นรากฐานสำคัญของสังคม รวมทั้งแก้ไขปัญหาวิกฤติต่างๆ ด้วยกลไกรัฐสภาและเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยและยึดมั่นในหลักนิติรัฐ การเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองหรือการเมืองควรต้องยึดแนวทางประชาธิปไตยและเป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น

2. ขอให้ทุกฝ่ายพึงระลึกว่า ระบอบประชาธิปไตยจะมั่งคงอยู่ได้ต้องประกอบด้วยกฎหมายที่สนองตอบต่อเจตนารมณ์ของปวงชนชาวไทย พร้อมด้วยศีลธรรมและความซื่อสัตย์สุจริต
3. ความกล้าหาญและเสียสละของประชาชน ความมีเอกภาพและสามัคคีของประชาชนจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ การเสียสละของผู้นำและกลุ่มผู้นำสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้
4. ต้องลดเงื่อนไขหรือสภาวะเพื่อที่นำไปสู่ความขัดแย้งอันต้นทางของวิกฤตการณ์ทางการเมือง ยึดในแนวทางสันติ ต้องไม่ให้เกิดความรุนแรงใดๆ

5. รัฐประหารสองครั้ง (2549, 2557) การฉีกรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ และ ยกเลิกการร่างรัฐธรรมนูญ 1 ฉบับ วิกฤตการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนทุกฝ่ายเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมในรอบ 17 ปี จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก หากมีการก่อรัฐประหารขึ้นอีก การรัฐประหารครั้งนี้จะนำไปสู่เส้นทางหายนะของประเทศ และจะสร้างความแตกแยกมากยิ่งกว่า รัฐประหารสองครั้งก่อนหน้านี้ เพราะจะเกิดการลุกฮือขึ้นของมวลชนประชาธิปไตยต่อต้านการรัฐประหาร ผู้นำทหาร ผู้นำตุลาการ ผู้นำภาคธุรกิจ ต้องสนับสนุนประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข ต้องไม่สนับสนุนระบอบเผด็จการหรือระบอบสืบทอดอำนาจ หากผู้นำกองทัพ ผู้นำศาล ผู้นำภาคธุรกิจ ไม่สนับสนุนประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่มีทางมั่นคงได้ และ ประเทศไทย คนไทย จะมีชะตากรรม ไม่ต่างจากประเทศเมียนมาร์ และ คนพม่า ในเวลานี้ ฉะนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมกัน ป้องปราม ไม่ให้สถานการณ์พัฒนาไปสู่ภาวะดังกล่าว

6. ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องมีเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการวางรากฐานประชาธิปไตยให้มั่นคง ปฏิรูปรัฐธรรมนูญและทำให้กระบวนการสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง รัฐธรรมนูญจะต้องประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประกันความปลอดภัยในชีวิตและการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ยารักษาโรคและวัคซีน ความยุติธรรม ประโยชน์ส่วนรวมและศีลธรรมจักบังเกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อประชาชนมีเสรีภาพอย่างแท้จริงโดยปราศจากความกลัวจากการคุกคามโดยอำนาจรัฐและการกลั่นแกล้งจากการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

7. พรรคเสียงข้างมากต้องพยายามจัดตั้งรัฐบาลให้เรียบร้อยภายใน 1 เดือนหลังวันเลือกตั้ง และ กกต. ต้องเร่งรับรองผลการเลือกตั้งเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากปล่อยให้มีการล่าช้าอาจเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนอันนำมาสู่การไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยส่วนใหญ่ของประชาชน ซึ่งอาจนำมาสู่โอกาสของการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยอาศัยเสียง สว อาศัยการตัดสิทธิ หรือ อาศัยการยุบพรรคการเมืองเพื่อดึง ส.ส. จากพรรคการเมืองที่ถูกยุบเพื่อชิงจัดตั้งรัฐบาล การจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วเพื่อความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและบริหารประเทศ

8. หากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาจาก พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าเป็นอันดับหนึ่ง (พรรคก้าวไกล) หรือ อันดับสอง (พรรคเพื่อไทย) คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ ถ้าเป็นพรรคการเมืองขั้วรัฐบาลที่แพ้การเลือกตั้ง พยายามจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และอาศัยเสียง ส.ว. แบบนั้น เสียงประชาชนส่วนใหญ่จะไม่มีความหมายอะไร และเราไม่รู้จะเลือกตั้งกันไปทำไม และประชาชนก็มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เราจะไม่เคารพเสียงประชาชนกระนั้นหรือ???

หากสถานการณ์พัฒนาไปสู่จุดนั้น อาจเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง อาจมีการชุมนุมบนท้องถนน นำไปสู่ความยุ่งยากติดตามมาอย่างยากที่จะคาดเดาได้ ทุกฝ่ายต้องร่วมกันไม่ให้เกิดขึ้นวิกฤตการณ์ขึ้น ประเทศจะได้เดินหน้า โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอำนาจในขณะนี้ที่กุมกลไกอำนาจรัฐต่างๆไว้อยู่ในฐานะรัฐบาลรักษาการ

นายอนุสรณ์ กล่าวในช่วงท้าย ว่า ความสามัคคีและความมีเอกภาพภายใต้รัฐบาลเลือกตั้งที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธาจะก่อให้เกิดความร่วมมืออย่างแข็งขันและมีประสิทธิภาพ การส่งมอบงานและภารกิจของรัฐบาลประยุทธ์ สู่ รัฐบาลประชาธิปไตย (ซึ่งอาจเป็นรัฐบาลก้าวไกลเป็นแกนนำ หรือ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ) อย่างเป็นมิตรในฐานะเพื่อนร่วมชาติร่วมแผ่นดิน ย่อมทำให้ระบบการเมืองไทยมีเสถียรภาพ สิ่งนี้จะเป็นรากฐานในการทำให้ สังคมไทยเดินหน้าไปสู่ความรุ่งเรือง ก้าวหน้า และมีสันติสุข ต่อไป

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button