คมนาคม

ทางคู่ “ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย”ก่อสร้างเสร็จ ก.ย.นี้

การรถไฟแห่งประเทศไทย เผยโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย พร้อมก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน 2562 โดยรายละเอียดการก่อสร้างในปัจจุบัน สัญญา 1 มีความก้าวหน้าไปแล้ว 94.74% ขณะที่สัญญา 2 ก่อสร้างเสร็จแล้ว 100 %  คาดก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกันยายน 2562 นี้ ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางรางสู่ภาคตะวันออก และอีอีซีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เร่งดำเนินการโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางราง ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 8 ปี พ.ศ. 2558-2565 ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทย สามารถขับเคลื่อนการลงทุนโครงการรถไฟทางคู่ให้เกิดการก่อสร้างได้แล้วหลายเส้นทาง โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร ซึ่งเป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบโลจิสติกส์สู่ภาคตะวันออก เชื่อมต่อไปยังโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างเป็นไปได้ด้วยดี และคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ตลอดเส้นทาง ภายในกรอบเวลาที่กำหนดเดือนกันยายน 2562 นี้ โดยมีรายละเอียดความก้าวหน้าในการก่อสร้าง ดังนี้

สัญญาที่ 1 งานก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-วิหารแดง และช่วงบุใหญ่-แก่งคอย งบประมาณการก่อสร้าง 9,825 ล้านบาท ระยะทางก่อสร้างทาง 97 กิโลเมตร พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง 3 แห่ง ได้แก่ สถานีชุมทางฉะเชิงเทรา ชุมทางแก่งคอย และชุมทางบ้านภาชี ขณะนี้มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างไปแล้ว 94.74% และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2562

สัญญาที่ 2 งานก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ ช่วงวิหารแดง-บุใหญ่ งบประมาณการก่อสร้าง 407 ล้านบาท ระยะทางรวม 9 กิโลเมตร ซึ่งมีการก่อสร้างอุโมงค์และทางลอดใต้เขาพระพุทธฉาย 1.2 กิโลเมตร ขณะนี้ก่อสร้างได้เสร็จแล้ว 100 %

นายวรวุฒิ กล่าวว่า เมื่อการดำเนินการก่อสร้างโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย เสร็จสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ และเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าทางราง เช่น น้ำมัน ก๊าซแอลพีจี ปูนซีเมนต์ สินค้าบรรจุคอนเทนเนอร์ ระหว่างพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกและท่าเรือแหลมฉบังกับพื้นที่บริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อย่างประหยัดต้นทุน อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนให้เกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งมาสู่ระบบราง และลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button