พลังงาน

สนพ. ชี้ราคาน้ำมันดิบโลกแนวโน้มทรงตัว จากปัจจัยแพร่ระบาดโควิดในเอเชียยังรุนแรง

สนพ. ชี้ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ จากปัจจัยการแพร่ระบาดโควิดยังรุนแรงในเอเชีย ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในระยะสั้นลดลง

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ ว่า มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ เนื่องจากความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป จะเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ในภูมิภาคเอเชียยังคงมีความรุนแรง โดยหลายประเทศ อาทิ อินเดีย ไต้หวัน สิงคโปร์ และไทย มีการบังคับใช้มาตรการจำกัดการเดินทางหรือมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันในระยะสั้นอาจจะลดลง

ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกช่วงระหว่างวันที่ 17- 23 พ.ค. 64 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 65.96 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 64.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 0.05 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 0.92 ต่อเหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ โดยได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเอเชียที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสิงคโปร์ ไต้หวัน และอินเดีย ที่ประกาศใช้มาตรการเข้มงวดทางสังคมอีกครั้ง ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับการส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ชะลอตัวหลังสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (SII) ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลกชะลอการส่งออกวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปจนถึงเดือน ต.ค. 64

สำหรับปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยอิหร่านเผยว่าการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านมีความคืบหน้ามาก ส่งผลให้คาดการณ์ว่า ในเร็วนี้สหรัฐฯ จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านและทำให้อิหร่านสามารถกลับมาส่งออกน้ำมันดิบมากขึ้น อีกทั้งยังมีความกังวลสถานการณ์ค่าเงินเฟ้อในสหรัฐฯ หลังตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งถูกใช้เป็นดัชนีชี้วัดภาวะเงินเฟ้อของประเทศสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเร็วนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน และส่งผลให้มีอุปทานน้ำมันดิบเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันอาจจะเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำมันที่เริ่มฟื้นตัวจากการคลายมาตรการล็อคดาวน์ในยุโรปและสหรัฐฯ และการคาดการณ์ว่าบริษัทโคโลเนียล ไปป์ ไลน์ (Colonia Pipeline) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการท่อส่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จะสามารถกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง ซึ่งจะช่วยลดความกังวลในการขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูปบริเวณฝั่งตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ประกอบกับศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐคาดว่า อาจจะเกิดพายุดีเปรสชัน หรือพายุโซนร้อนในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งจะกระทบการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ได้

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button