การเงิน

“ทีเอ็มบี” ฟันธงตลาดหุ้น “ขาขึ้น” กลุ่มเทคโนโลยีมีโอกาสไปต่อ

“ทีเอ็มบี” เปิดมุมมองการลงทุนปี 2564 ฟันธงตลาดหุ้นโดยรวมเป็น “ขาขึ้น” สภาพคล่องล้นและดอกเบี้ยต่ำ หนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ชี้เป้าตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียรับอานิสงส์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จับตาเอเชียเหนือ จีน และอินเดียเป็นพิเศษ ส่วนตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว มองครึ่งปีแรกหุ้นขนาดกลางและเล็กมีโอกาสเติบโตสูงรับประโยชน์จากเงินทุนต่างชาติไหลเข้า ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ต้องรอคิวครึ่งปีหลัง ทั้งนี้ ทีเอ็มบีแนะปรับการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เชียร์คัดหุ้นเทคโนโลยีนวัตกรรมเข้าพอร์ต เชื่อราคายังไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับโอกาสในการเติบโต

นางสาวกิดาการ ชัฏสุวรรณ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทีเอ็มบีมีมุมมองค่อนข้างชัดว่าภาวะตลาดหุ้นโดยรวมในปี 2564 มีทิศทางเป็น “ขาขึ้น” ซึ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคเอเชียจะเป็นจุดสำคัญที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยตรง หลังจากที่เผชิญกับแรงกดดันจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนมาหลายปี แต่มองว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ ภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ โดยจีนและอินเดียเป็นประเทศที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ รวมทั้งประเทศที่เน้นการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น เกาหลีใต้และไต้หวัน

กิดาการ ชัฏสุวรรณ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ทีเอ็มบี

สำหรับตลาดหุ้นไทยในปี 2564 มีแนวโน้มดีกว่าปีที่แล้ว ท่ามกลางภาพรวมของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวเปราะบางนักท่องเที่ยวและการส่งออกยังไม่กลับมาเต็มร้อย ทางทีเอ็มบีมองว่าจีดีพีในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2.40% และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่ปรับขึ้นตลอดทั้งปี โดยมุมมองการลงทุนในหุ้นไทยแบ่งเป็นสองช่วง คือ ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตสูงจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่ต้องรอความชัดเจนเรื่องวัคซีน แต่หลังจากที่วัคซีนเริ่มเข้ามาในครึ่งปีหลัง หุ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสฟื้นตัวมากกว่า

ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปี 2564 ทางทีเอ็มบีมองว่าการจัดพอร์ตลงทุนต้องมีมุมมองใหม่ให้สอดคล้องกับโครงสร้างและรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนจาก New normal เป็น Now normal ทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตคนมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดังนั้น ในส่วนหลักของพอร์ตจะเน้นการลงทุนในหุ้นดังกล่าวเป็นหลัก นอกจากนี้ พอร์ตของเราจะผสานด้วยหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการมาของวัคซีนจะช่วยสนับสนุนให้ราคาของหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น

“แม้ในปีที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรง จนทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้แพงเกินไป ซึ่งทีเอ็มบีมองว่ายังไม่แพงเกินไปที่จะลงทุนในตอนนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่เน้นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตของผู้คน เนื่องจากการลงทุนในปัจจุบันนั้นนักลงทุนต้องการลงทุนในธุรกิจที่มี “การเจริญเติบโต” ในอนาคตอย่างยั่งยืน แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะดูปรับตัวขึ้นมามากแต่ถ้าเป็นการปรับตัวขึ้นตามการเติบโตของบริษัทก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เป็นภาวะฟองสบู่ ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำของ Fed เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งปล่อยสภาพคล่องผ่านการทำ QE Infinity ทำให้เม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดการเงินนั้นมีอยู่มหาศาล นักลงทุนจึงต้องมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีพร้อมทั้งมีความปลอดภัยจากการลงทุนในระดับหนึ่ง ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี”

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพคล่องที่มีอยู่มาก ผู้ลงทุนต้องระวังเรื่องความผันผวนที่อาจรุนแรงมากกว่าภาวะปกติเมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุนอย่างฉับพลัน ดังนั้น การกระจายการลงทุนให้เหมาะสมจะทำให้พอร์ตไม่เสี่ยงมากเกินไป โดยหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรมีติดพอร์ตไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตก็คือ ทองคำ แม้ปีนี้ราคาทองคำอาจจะไม่ได้ปรับขึ้นร้อนแรงเหมือนปีที่ผ่านมา แต่หากครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้นและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ที่ออกมาทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าก็เป็นโอกาสของทองคำได้เช่นกัน

หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ทีเอ็มบี กล่าวสรุปว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2564 ค่อนข้างสดใส มีปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ เรื่องการกระจายวัคซีน ซึ่งต้องดูว่าจะกระจายได้ครอบคลุมมากน้อยแค่ไหนเรื่องแนวโน้มการค้าโลกที่สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และเรื่องอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน ทำให้การลงทุนในหุ้นยังน่าสนใจกว่าพันธบัตรอยู่มาก ทั้งนี้ ผู้ลงทุนต้องอย่าลืมว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงอยู่เสมอและตลาดหุ้นอาจมีความผันผวนชั่วขณะได้ การซื้อขายทำกำไรจากกองทุนในระยะสั้นนั้นอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือพลาดจังหวะการลงทุนที่สำคัญไปได้เนื่องจากสภาพตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวนมากขึ้น ดังนั้น จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนเน้นการลงทุนระยะยาวและจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของแต่ละคนในการสร้างผลตอบแทนเพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นในระยะยาว

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button